วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องสั้น...ไม่พ้น


            ผมเป็นนักธุรกิจพันล้าน มีทั้งธุรกิจถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ผมมีบอดี้การ์ดรายล้อมมากมาย ผมต้องการอะไร ผมก็ได้ในสิ่งนั้น ผมมีเงินเป็นใบเบิกทางสำหรับทุกสิ่ง ชีวิตผมมันแสนสบาย

            ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับผม เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมล่ะก็จะเจออะไรบ้าง ผมมีเพื่อนเป็นตำรวจมากมาย ผมสามารถทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งถูกต้องได้ ใครๆก็อิจฉาและอยากมีชีวิตแบบผม ผมเป็นชายโสดและไม่คิดจะมีครอบครัว ผมสนุกกับการเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยๆ ทั้งดารา นางแบบ พริตตี้ ผมก็คว้ามาหมดแล้ว พวกผู้ชายกระจอกคนอื่นๆคงจะพากันหมั่นไส้ผมน่าดู

            ชีวิตผมอยู่บนกองเงินกองทอง มีสาวสวยๆข้างกายซ้ายขวา มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง มีคนใช้คอยบริการทุกอย่าง หลายคนถามว่าผมทำบุญด้วยอะไรถึงได้สุขสบายขนาดนี้ ผมอยากจะหัวเราะดังๆทุกครั้งที่ได้ยินคำถามนี้ ก็คงจะมีแต่พวกงมงายเท่านั้นน่ะสิที่เชื่อในบาปบุญคุณโทษ ผมขอบอกไว้เลยนะ ว่าที่ผมรวยล้นฟ้าขนาดนี้ได้ก็เพราะมันสมองอันชาญฉลาดของผม...ผมเนี่ยแหละตัวโกงในชีวิตจริง แต่การเป็นตัวโกงก็ทำให้ผมได้สุขสบายแบบนี้ ถ้าขืนผมทะเยอะทะยานจะไปเป็นพระเอก ผมก็คงเป็นได้แค่พนักงานบริษัทกระจอกงอกง่อยคนหนึ่ง

            ผมไม่เคยเข้าวัดทำบุญ ผมไม่เชื่อในเรื่องโชคชะตา ผมคิดว่าที่ผมมีทุกวันนี้ก็เพราะความพยายามของตัวผมเอง ผมจะไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระ...

            วันนี้เป็นวันพักผ่อนของผม ผมตื่นขึ้นมาโดยไม่เจอใคร ทั้งๆที่ปกติจะต้องมีคนใช้คอยผมตื่นอยู่ที่ปลายเตียง พวกคนใช้นี่มันเหลวไหลเสียจริง! ผมเดินออกมาที่ห้องรับแขกก็ไม่เจอใครสักคน เดินออกไปข้างนอกก็ไม่เจอใคร บ้านทั้งหลังมีผมอยู่เพียงคนเดียว มันน่าโมโหนักนะ ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวได้ยังไง!

            จู่ๆผมก็รู้สึกเวียนหัว คล้ายจะวูบ ผมเงยหน้ามองทองฟ้าที่เป็นสีขาวโพลนแต่แล้วมันก็ค่อยๆมืดลง จนดับสนิท
            ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่วัด สถานที่ที่ผมไม่ได้ย่างกรายเข้ามาเป็นเวลานานแสนนาน เบื้องหน้าของผมคือเมรุเผาศพ ผมเห็นคนคุ้นเคยของผมยืนอยู่ที่นี่มากมาย แต่ไม่มีใครสนใจผมสักคน ผมเดินขึ้นไปบนเมรุ ผมเจอกับโลงศพไม้สักที่สลักลวดลายสวยงาม และรูปที่ตั้งอยู่หน้าโลง...มันคือรูปผม! ผมเวียนหัวคล้ายจะเป็นลม ร่างกายของผมตอนนี้คล้ายกับควันธูป มันค่อยๆจาง ค่อยๆจาง และหายไป...
             


วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ศาสนาไม่ได้เสื่อม...จิตใจคนต่างหากที่เสื่อม

            



            ปัจจุบันมีข่าวในแง่ลบเกี่ยวกับพุทธศาสนามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่พระสงฆ์ไม่ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย ใช้ความศรัทธาของประชาชนเป็นเครื่องมือในการทำบาป ดังเห็นได้จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และตามโทรทัศน์




          ผู้คนส่วนใหญ่มักพูดกันว่า ศาสนาเสื่อม หากแท้จริงแล้ว ศาสนาไม่ได้เสื่อม ศาสนาพุทธยังคงเป็นศาสนาที่ดี และไม่มีวันเสื่อม แต่จิตใจคนต่างหากที่เสื่อม คนไทยขาดศีลธรรม พระสงฆ์พระพฤติผิดหลักพระธรรมวินัย หลงในลาภสักการะ สร้างวัตถุบูชาแข่งกัน อวดอำนาจบารมีต่อกัน ใช้ความศรัทธาของประชาชนทำในสิ่งที่ผิดๆ เป็นภิกษุสงฆ์ควรจะมีหน้าที่เผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน ให้ประชาชนได้รู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้า และเนื่องจากเรามีบุคคลประเภทนี้ที่เราเรียกว่าพระอยู่ในศาสนาเป็นจำนวนมาก ทำให้เราได้ยินข่าวในแง่ลบเกี่ยวกับพุทธศาสนาไม่เว้นแต่ละวัน


            พระสงฆ์ที่ท่านพระพฤติดีก็มีเยอะแยะ เป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนทุกคนที่ต้องใช้วิจารณญาณในการนับถือและศรัทธา มิใช่งมงายโดยไม่ลืมหูลืมตา ศาสนาพุทธไม่เคยเสื่อม หากจิตใจคนต่างหากที่เสื่อมลงไปทุกที ทั้งสงฆ์...และฆราวาส 

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หน้ากาก...อุปกรณ์ประจำตัว




            คุณเคยใส่หน้ากากหรือไม่?
            เมื่อพูดถึงคำว่า หน้ากาก ถ้าเป็นตอนเด็กคงจะนึกถึงหน้าของเซล่ามูน อาราเล่ อุลตราแมน หรือยอดมนุษย์ตัวอื่นๆ รวมถึงตัวการ์ตูนน่ารักต่างๆที่เราชื่นชอบ แต่เมื่อเติบโตขึ้นได้เจอสังคมและผู้คนหลากหลายรูปแบบ ทำให้นึกถึงหน้ากากในอีกแบบหนึ่ง

            หน้ากากที่ฉันนึกถึงเป็นหน้ากากที่คนในสังคมสวมใส่กันอยู่เสมอ เป็นหน้ากากที่ฉันอยากให้มันหมดไปจากสังคมไทย แต่ตัวฉันเองก็ยังต้องสวมใส่มันอยู่บ้างในบางโอกาส เพราะมีบางคนที่สวมหน้ากากเข้าหาฉัน ฉันจึงต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีนี้

            ทำไมคนถึงใส่หน้ากากเข้าหากัน? คงต้องยอมรับว่ากลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับสังคมไทย ที่ไม่ชอบให้มีใครมากล่าวว่าตรงๆ หรือตำหนิติเตียน นิสัยคนไทยคือ ชอบให้มีคนยกย่องชมเชย แม้ว่าสิ่งที่ทำจะเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม หากทว่าคำยกย่องชมเชยจะมีค่าอะไรถ้าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้มาจากความจริงใจ ตรงกันข้ามกับคำตำหนิ หากคำตำหนินั้นมันทำให้เราดีขึ้น  เราก็ควรดีใจไม่ใช่หรือ แต่คนไทยกลับเลือกที่จะต่อต้านคำตำหนิเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าพูดจากันตรงๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายรับไม่ได้เสียความรู้สึกบ้างล่ะ ต่อว่ากลับบ้างล่ะ หรือเลยเถิดจนกลายเป็นทะเลาะกันมองหน้ากันไม่ติด คนไทยส่วนใหญ่จึงเอาตัวรอดด้วยการใส่หน้ากาก ปั้นคำพูดสวยหรูมาชื่นชมกัน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งหลอกลวง

            บางคนก็ใส่หน้ากากเข้าหากันเพราะหวังผลประโยชน์ ภายนอกแลดูจริงใจต่อกัน แต่เบื้องหลังหน้ากากนั่นอาจซ่อนอาวุธร้ายเอาไว้ รอทำร้ายฝ่ายตรงข้ามทีเผลอ ซึ่งกรณีอย่างนี้มีให้เห็นบ่อยครั้งในสังคมทุกชนชั้น น่าสลดใจจริงๆที่โลกใบนี้เต็มไปด้วย หน้ากาก แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวฉันเองก็สวม หน้ากาก เช่นกัน


           

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คิดต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่

          


            ทำไมผู้ใหญ่มักทะเลาะกับเด็ก?
            ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่เข้าใจเด็ก?
            ทำไมเด็กถึงเถียงผู้ใหญ่?

            ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย เนื่องจากเด็กกับผู้ใหญ่มีช่องว่างระหว่างวัยเพราะอายุห่างกัน พูดกันคนละภาษา ทำให้เกิดความคิดที่แตกต่าง ฝ่ายผู้ใหญ่ก็คิดว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้อง เด็กก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ไม่แปลกเลยที่ทั้งสองฝ่ายจะเกิดความขัดแย้ง

            สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำแล้วเด็กไม่ชอบมีหลายอย่าง ดังนี้

            1.เด็กไม่ชอบให้ผู้ใหญ่ตอกย้ำถึงสิ่งที่ทำผิด ขุดมาว่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
            2.เด็กไม่ชอบให้ผู้ใหญ่บังคับทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ อย่าลืม ว่าเด็กก็มีความคิดและจิตใจไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลย
            3.เด็กไม่ชอบให้ผู้ใหญ่ให้ผู้ใช้อารมณ์ วีน หรือเหวี่ยงใส่ แม้กระทั่งผู้ใหญ่เองยังไม่ชอบให้ใครมาทำแบบนี้ด้วย เด็กก็ไม่ชอบเหมือนกัน
            4.ผู้ใหญ่ชอบใช้ความรุนแรงกับเด็กเมื่อเด็กทำขัดใจ หรือทำไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ ความรุนแรงในที่นี้นอกจากจะเป็นทางการใช้กำลังแล้ว ยังรวมถึงการใช้ถ้อยคำกระแทกกระทั้น ดุด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
            5.ผู้ใหญ่ชอบบังคับให้เด็กอยู่ในกรอบที่ตนเองวางไว้ เพราะคิดว่าเป็นที่ถูกต้อง โดยไม่คำนึงถึงจิตใจของเด็ก

            สิ่งที่เด็กทำแล้วผู้ใหญ่ไม่ชอบมีหลายอย่าง ดังนี้

            1.เด็กชอบทำตามใจตนเองโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม รู้แต่เพียงว่าฉันอยากทำ ฉันจะทำ
            2.เด็กชอบเถียงแม้จะรู้ว่าตนเองผิด แต่ก็จะเถียงให้ตัวเองถูก และอ้างว่าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจตน
            3.ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้เด็กชักสีหน้าใส่เวลาสั่งสอนตักเตือน มันทำให้รู้สึกผิดหวังเพราะผู้ใหญ่เตือนด้วยความหวังดี
            4.เด็กชอบมีความคิดตามๆกันที่เรียกว่าเป็นกระแส ซึ่งมักจะไปในทางไม่ดีสักเท่าไหร่ ทำให้ขัดใจผู้ใหญ่เป็นที่สุด
            5.เด็กชอบจดจ่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์มากกว่าตำราเรียน ทำให้ผู้ใหญ่กังวลถึงผลการเรียน ว่าจะตกต่ำลงหรือไม่

            จากสิ่งที่กล่าวไป จะเห็นได้ว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีส่วนที่ไม่ชอบใจในกันและกันอยู่หลายอย่าง มันเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กกับผู้ใหญ่ขัดแย้งกัน และทั้งสองฝ่ายกลับเลือกวิธีแก้ไขความขัดแย้งด้วยการโต้เถียง ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นทะเลาะกันเพราะใช้อารมณ์เหนือเหตุผล

            ถ้าต่างฝ่ายต่างลดทิฐิลงบ้าง หันหน้าเข้าหากัน ค่อยๆพูดค่อยๆจา ชี้แจงถึงสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างไม่ชอบใจกัน ปรับกันคนละนิด ยอมกันบ้าง อะลุ้มอล่วยกัน ปัญหาระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ก็จะน้อยลง เด็กต้องเข้าใจว่าผู้ใหญ่โตกว่า มีวุฒิภาวะมากกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน เราต้องเชื่อฟัง แต่ก็ต้องใช้วิจารณญาณด้วย ส่วนผู้ใหญ่ก็ต้องฟังเสียงเด็กบ้าง ต้องเข้าใจเด็ก เพราะก่อนที่จะมาเป็นผู้ใหญ่ ทุกคนก็เคยเป็นเด็กด้วยกันมาทั้งนั้น

            ปัญหาที่เกิดขึ้นและยังเกิดอย่างต่อเนื่องอย่างปัญหาความขัดแย้งระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่นี้ จะจบลงได้ก็ด้วยทั้งสองฝ่ายปรับความเข้าใจกันด้วยเหตุผล งดใช้อารมณ์ เพราะเรื่องความรู้สึกนึกคิดเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก